ประเภทของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้ความแตกต่างจากขนาดของเครื่อง ความเร็วในการประมวลผล รวมทั้งราคาเป็นหลักในการแบ่ง ดังนี้

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer)

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูง แต่มีราคาแพง ต้องอยู่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิและปราศจากฝุ่นละออง ทำให้องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้นจึงสามารถจัดหาเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้นิยมนำมาใช้ในการคำนวณที่ซับซ้อน เช่น การคำนวณทางวิทยาศาสตร์ การบิน เป็นต้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกสร้างในปี ค.ศ.1960 โดยองค์ทางทหารของสหรัฐอเมริกา ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีการใช้หลักที่เรียกว่ามัลติโปรเซสซิง (Multiprocessing) คือการใช้หน่วยประมวลผลจำนวนหลายตัว เพื่อทำให้เครื่องสามารถทำงานหลายงานพร้อม ๆ กันได้ ปัจจุบันซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถมีหน่วยประมวลผลนับร้อยตัวทำงานพร้อม ๆ กัน ความเร็วของเครื่องจะมีการวัดหน่วยเป็น นาโนวินาที (nanosecond) หรือเศษหนึ่งพันล้านวินาที และจิกะฟลอป (gigaflop) หรือการคำนวณหนึ่งพันล้านครั้งในหนึ่งวินาที

เมนเฟรม (Mainframe)

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพรองมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์  ซึ่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1950 เป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่ ต้องอยู่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิและปราศจากฝุ่นละออง เครื่องเมนเฟรมนิยมนำมาใช้ในงานที่มีการรับและแสดงผลข้อมูลจำนวนมาก ๆ แต่จะมีหน่วยประมวลผลน้อยกว่าเครื่องซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ ความเร็วของเครื่องจะมีการวัดหน่วยเป็น เมกะฟลอป (megaflop) หรือการคำนวณหนึ่งล้านครั้งในหนึ่งวินาที เครื่องเมนเฟรมส่วนมากจะมีระบบคอมพิวเตอร์ย่อย ๆ ประกอบอยู่ สามารถแยกตามหน้าที่ได้ดังนี้
Host processor เป็นเครื่องหลักที่มีหน้าที่ควบคุมหน่วยประมวลผล อุปกรณ์รอบข้าง และการคำนวณต่าง ๆ
Front-end processor มีหน้าที่ควบคุมการติดต่อระหว่างหน้าจอผู้ใช้ กับระบบคอมพิวเตอร์หลัก
Back-end processor มีหน้าที่เกี่ยวกับการเรียกใช้ข้อมูลหลักการที่เครื่องเมนเฟรมสามารถทำงานได้หลายโปรแกรมพร้อม กันนั้นเรียกว่า มัลติโปรแกรมมิง (multiprogramming)

มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)
เริ่มพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1960 ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเพราะมีราคาถูกกว่าเครื่องเมนเฟรมมาก เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้หลักการของเครื่องมัลติโปรแกรมมิงเหมือนเครื่องเมนเฟรม แต่เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะทำงานช้ากว่าเครื่องเมนเฟรม รวมทั้งสื่อที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ มีความจุไม่สูงเท่าเครื่องเมนเฟรม

เวิร์คสเตชัน (Workstation)และไมโครคอมิวเตอร์ (Microcomputer) ในการใช้เครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลและการแสดงผลทางจอภาพได้เท่านั้นไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์อย่างอื่น ๆ ได้ทั้งหมด
ซึ่งแบ่งออกเป็นสองรุ่นคือ 

เวิร์คสเตชัน เป็นคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ มีความสามารถในการคำนวณด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมที่เน้นแสดงผลด้านกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง ทำให้เวิร์คสเตชั่นใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพมาก เวิร์คสเตชั่นส่วนมากใช้ชิปปะเภท RISC (reduce instrutction set computer) ซึ่งเป็นชิปที่ลดจำนวนคำสั่งที่สามารถสั่งงานให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น

ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาในปี ค.ศ. 1975 และได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อ IBM สร้าง IBM PC ไมโครคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีสองชนิดคือ Apple Macintosh และ PC

ความแตกต่างระหว่างเครื่องเวิร์คสเตชันและเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ  เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ระดับสูงมีประสิทธิภาพของเครื่องในการแสดงผลดี กว่าเวิร์คสเตชั่นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกติดตัวได้สะดวก เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุค (Notebook computer) คอมพิวเตอร์ปาล์มทอป (Palmton computer) และ PDA (Personal Digital Assistant) ซึ่งจัดเป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง

คอมพิวเตอร์เครือข่าย (Network computer)
เป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงมาจากไมโครคอมพิวตอร์ โดยได้รับอิทธิพลมาจากแนวความคิดของอินเตอร์เน็ท เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาต่ำ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ รวมทั้งผู้ที่ต้องการเข้าอินเตอร์เน็ทเครื่องชนิดนี้จะไม่มีหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง การจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมจะอยู่ที่เครื่องศูนย์กลาง(Server) ซึ่งมีข้อดีคือการเปลี่ยนรุ่น(upgrade) ซอฟแวต์สามารถทำได้ง่ายสามารถทำงานจากคอมพิวเตอร์เครือข่ายใดก็ได้               

หน้าที่ 1 | 2